Skip to content
Home » Blog » รีวิวหนังสือ : The Science of Storytelling ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจด้วยวิทยาศาสตร์สมอง (Will Storr)

รีวิวหนังสือ : The Science of Storytelling ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจด้วยวิทยาศาสตร์สมอง (Will Storr)

รีวิว science of storytelling ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจด้วยวิทยาศาสตร์สมอง

“ทางเดียวที่จะอธิบายมนุษย์สักคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ก็คืออธิบายความไม่สมบูรณ์แบบของเขา”

( –โจเซฟ แคมป์เบลล์, จากหนังสือหน้า 81 )

✒️ เกี่ยวกับผู้เขียน

🎯 มุมมองสรุป

ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจ รีวิว Science of storytelling

จริงอยู่ที่การสร้างสรรค์ผลงานสักชิ้น เรื่องเล่าสักเรื่อง ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว หากกล่าวให้ถูกกว่านั้นสูตรสำเร็จที่ตายตัวอาจทำให้ความน่าสนใจของผลงานลดน้อยลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่การบอกเล่าเรื่องราวที่ขาดการยึดโยงหรือไม่สมเหตุสมผลย่อมทำให้เกิดความรู้สึกร่วมไปกับเรื่องเล่าเหล่านั้นได้ยากขึ้น ทางออกทางหนึ่งสำหรับนักเล่าเรื่องที่ต้องการเชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์กับคนรับสารของพวกเขา คือการทำความเข้าใจว่าอะไรที่จะสามารถดึงดูดผู้คนได้ท่ามกลางจินตนาการมากมายที่นักเล่าเรื่องจะเลือกหยิบใส่ลงในผลงาน

และหนังสือเล่มนี้มีเรื่องเล่าของการทำงานเหล่านั้น…

เหตุการณ์แวดล้อมช่วยให้เรื่องเล่าสำเร็จได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

บางครั้งเราตั้งต้นจากพล็อตของสถานการณ์หรือวางโครงเรื่องโดยกำหนดบริบทเหตุการณ์และสถานที่เอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่กลับหลงลืมสิ่งสำคัญที่สุดของจุดกำเนิดที่ทำให้เราต้องบรรยายถึงเรื่องเหล่านั้น นั่นคือตัวละคร เราสนใจว่าเกิดอะไร เพราะเหตุใดก็จริง แต่โดยธรรมชาติแล้วผลกระทบที่เกิดกับตัวละครต่างหากที่สร้างแรงสั่นสะเทือนได้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงเสนอแนวทางการเล่าเรื่องที่เริ่มจากสร้างตัวละครเป็นหลัก เขาเป็นคนแบบไหน เชื่อในสิ่งใด และมีพฤติกรรมใดที่เขามักใช้เพื่อยืนยันความเป็นตัวตนของเขาที่เราจะถ่ายทอดให้กับผู้คนที่เฝ้ารอเรื่องเล่านี้ได้

ไม่มีอะไรน่าพิสมัยไปกว่าการเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดฝันอีกแล้ว (สำหรับเรื่องเล่า)

เพราะสมองของมนุษย์จะมุ่งโฟกัสกับสิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันด้วยสัญชาตญาณทางธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเรื่องเล่าที่จะตรึงผู้คนให้ติดตามอย่างต่อเนื่องได้อาจใช้ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์สมองด้วยการทำให้พวกเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอะไรสักอย่าง แน่นอนว่าการจะเกิดขึ้นได้ตัวเดินเรื่องจำเป็นจะต้องมีมิติของความบกพร่องบางอย่างภายในตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นตัวละครที่หมั่นสร้างความชุลมุน หรือพุ่งชนกับเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์อย่างไม่ลดละ ก็จะยิ่งทำให้ผู้คนลุ้นและอยากรู้อยากเห็นไปได้เรื่อยๆ

รีวิว ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจด้วยวิทยาศาสตร์สมอง Science of storytelling

โครงสร้าง 5 องก์ของเรื่องเล่าที่จบลงอย่างสวยงาม

แม้ว่ารูปแบบโครงเรื่องเช่นนี้จะไม่ใช่สูตรสำเร็จเดียวของการเล่าเรื่องให้น่าติดตาม แต่วิธีนี้มักถูกใช้ทั่วไปผ่านเรื่องเล่าประเภท Happy Ending และยังสามารถดึงดูดใจผู้คนได้เป็นอย่างดี ซึ่งประกอบไปด้วย

  • องก์ที่ 1 – อธิบายสิ่งที่ตัวละครเป็นและบอกเล่าเหตุการณ์พลิกผันที่ทำให้ตัวละครพบบททดสอบใหม่
  • องก์ที่ 2 – เมื่อตัวตนของตัวละครไม่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้นได้ ทำให้ต้องลองหาวิธีใหม่ๆ ซึ่งทำให้เรื่องเล่าดำเนินไปอย่างตึงเครียด ตื่นเต้น
  • องก์ที่ 3 – ตัวละครผ่านพ้นไปได้ด้วยมุมคิดแบบใหม่ แต่ก็ยังเจออุปสรรคที่ถาโถมมากขึ้น หรือเรียกว่าโดนโจมตีด้วยโครงเรื่องอีกครั้งแม้ว่าตัวละครจะเปลี่ยนไปแล้ว
  • องก์ที่ 4 – จุดตกต่ำสุดขีดของตัวละครเมื่อถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ตัวละครจะเริ่มลังเลว่าความเปลี่ยนแปลงของตนถูกต้องหรือไม่ และตัวละครต้องตัดสินใจอีกครั้ง
  • องก์ที่ 5 – โครงเรื่องตัดสินชี้ชะตา ตัวละครพลิกกลับมาควบคุมได้ ปมคลี่คลาย และตัวละครเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม

การสร้างสรรค์งานเขียนที่วางบริบทให้เรื่องเล่าถูกดำเนินโดยตัวละครและใช้โครงเรื่องบรรจุสถานการณ์ไว้เป็นวิธีที่ทำให้เราเอาใจใส่ตัวละครมากกว่า กล่าวได้ว่าในมุมมองของผู้เขียนแล้ว หน้าที่หลักของโครงเรื่องมีไว้เพื่อโบยตีตัวละครหลักของเราเลยด้วยซ้ำ

หยุดหลงรักตัวละครเอกของเราซะ!

เราไม่แน่ใจว่าใครเคยประสบชะตากรรมนี้หรือไม่ นั่นคือการหลงรักตัวละครที่เราสร้างขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะความมุ่งมั่นตั้งใจและการใช้ชีวิตกับตัวละครมายาวนาน แต่การหลงรักนี้เองที่อาจทำให้นักเล่าเรื่องทั้งหลายไม่กล้าใส่ข้อบกพร่อง ยินยอมลดระดับสถานการณ์เลวร้าย หรือกระทั่งรู้สึกเจ็บปวดไปกับการทุบทำลายตัวละครของตนเองได้ และสิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การขาดจุดวิกฤติพลิกผันทางโครงเรื่องที่จะทำให้ตัวละครเติบโต ขาดการตอบสนองหรือการกระทำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ พวกเขาล้วนสมบูรณ์แบบเกินไป ทำให้เรื่องเล่าชืดจางเพราะขาดมิติของความเป็นจริง

รีวิว ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจด้วยวิทยาศาสตร์สมอง Science of storytelling

ความเห็นอกเห็นใจที่ถูกส่งผ่านการเล่าเรื่อง

โรเบิร์ต ซาโปลสกี นักประสาทวิทยาชาวอเมริกันพบว่า เมื่อทดลองสแกนสมองคนที่อ่านเรื่องคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของคนอื่น สมองส่วนที่รับรู้ความเจ็บปวดจะเริ่มทำงาน ในขณะที่หากอ่านเรื่องราวเคราะห์ร้ายหรือความระทมทุกข์ ระบบให้รางวัลในสมองจะส่งสัญญาณความสุขออกมา สิ่งนี้ทำให้เราเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวละครที่บกพร่องและยังต้องเผชิญกับอุปสรรค ย้อนกลับไปในยุคศตวรรษที่ 18 เรื่องเล่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอิทธิพลที่ช่วยเร่งให้เกิดหลักสิทธิมนุษยชนขึ้น เมื่อนักเขียนถ่ายทอดเรื่องราวความเจ็บปวดระทมทุกข์ผ่านตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศในนวนิยายเลื่องชื่ออย่าง Pamela (1740) หรือเรื่องเล่าชีวิตทาสที่ถูกตรวนไว้ในรัฐทางใต้ของอเมริกาใน The Narrative of the Life of Frederick Douglass

การได้อ่านหรือสัมผัสกับเรื่องเล่าที่สะท้อนความพยายามมีชีวิตอยู่ การต่อสู้ หรือแม้แต่ถ้อยความที่บรรยายมวลอารมณ์เอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกที่มีความหมายต่อเราบางอย่างนั้น มันอาจกระทบใจจนเราอ่อนไหว อยากเอาใจช่วย หรือบางครั้งมันก็โอบอุ้มชุบชูความเปลี่ยวดายคล้ายกับการมีเพื่อนร่วมเดินทางในห้วงอารมณ์เหล่านี้

หนังสือที่เล่าเรื่องการเล่าเรื่องอย่างเอาเรื่อง

คงต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้ดึงดูดเราไว้ได้อยู่หมัด โดยสารตั้งต้นของเราคือความอยากรู้วิธีการสร้างสรรค์งานเขียนที่จะตรึงผู้อ่านและกระตุ้นอารมณ์ร่วมให้ได้ หลายส่วนที่ผู้เขียนนำเสนอเป็นจุดที่เรามองข้ามและบางอย่างก็เป็นจุดที่ไม่ได้สนใจนัก เรามักคิดเพียงว่าเรื่องราวแบบไหนที่จะใหม่พอ สนุกมากพอ หรือน่าสนใจมากพอ แต่บทเรียนแรกที่เราได้จากเล่มนี้นั่นคือ ผู้คนมีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจ ‘ตัวละคร’ ต่างหาก และมีอีกหลายเครื่องมือที่กระจายๆ อยู่ทั่วทั้งเล่ม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดแง่คิดผ่านเรื่องเล่าที่ผู้เขียนมักยกงานชิ้นเอกขึ้นมาถอดองค์ประกอบ หรือการใช้เทคนิคบทบรรยายเชิงอุปลักษณ์อันเนื่องมาจากสมองมนุษย์ใช้วิธีนี้ในการทำความเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม

อาจกล่าวได้ว่า เรื่องเล่าที่มีจุดพลิกผันและสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงนั้นมักทำให้ผู้คนสนใจและเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งจุดพลิกผันส่วนใหญ่ก็มักเกิดจากตัวละครที่มีจุดอ่อนหรือตัวตนที่ไม่สมบูรณ์แบบ มันอาจเกิดจากความคิดหรือความเชื่อที่สะท้อนตัวตนบางอย่างซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีรากฐานมาจากการบ่มเพาะระหว่างช่วงวัยแห่งการเติบโต มันอาจด่างพร้อย ย้อนแย้ง สับสน ไปจนกระกระทั่งบิดเบี้ยว การเล่าเรื่องคือการสร้างโลกจำลองขึ้นมาจากสมการความเป็นจริงเพื่อให้ผู้คนรู้สึกเชื่อมโยงถึงมันได้

และคงไม่มีสิ่งใดที่จริงไปกว่าความจริงที่ว่าทุกอย่างไม่มีทางสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอีกแล้ว

ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจด้วยวิทยาศาสตร์สมอง รีวิว

🛒 ซื้อหนังสือออนไลน์

“ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจด้วยวิทยาศาสตร์สมอง (The Science of Storytelling)”

ผู้เขียน : Will Storr
(ศิริกมล ตาน้อย แปล)

จำนวนหน้า : 288 หน้า / ราคาปก : 350 บาท

สำนักพิมพ์ : Bookscape

หมวด : สารคดี

หนังสือ วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด สำนักพิมพ์บิงโก Pat Flynn
เมื่อเส้นทางความสำเร็จของมนุษย์อาจไม่ได้มีไว้สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเพียงเท่านั้น การเรียนรู้และฝึกฝนทักษะรอบด้านจนกลายเป็นคนเก่งแบบเป็ด (เก่งกว้าง) ก็เป็นวิธีเพิ่มหนทางสู่โอกาสมากมายในชีวิตได้เช่นกัน
พ.ย. 11, 2022
รีวิวหนังสือ การจัดบ้าน มาริเอะ คนโด ฉบับการ์ตูน
หากรู้สึกกังวล หรือมีอะไรรบกวนจิตใจ และกำลังมองหาวิธีแก้ไขที่ต่างออกไป อยากชวนมาจัดระเบียบบ้านเพื่อจัดระเบียบชีวิตใหม่ ตามสไตล์คนโด มาริเอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดบ้านระดับโลก
มี.ค. 27, 2022
how to win friends and influence people review thai version bookreview
ต้นแบบหนังสือจิตวิทยาแปลไทยเล่มแรกที่เนื้อหายังคงปรับใช้ได้ในยุคปัจจุบันแม้ผ่านพ้นนานครึ่งศตวรรษ ร่วมศึกษาแนวปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณสร้างมิตรทั้งในเชิงธุรกิจและชีวิตส่วนตัว
ก.ค. 24, 2022
รีวิว อิคิไก ความหมายของการมีชีวิตอยู่ ปรัชญา ญี่ปุ่น
ความหมายของการมีชีวิตอยู่ แท้จริงแล้วเราอาจไม่จำเป็นต้องสืบเสาะค้นหา เพียงแต่ต้องอาศัยการยอมรับและใช้เวลา เพื่อค้นพบว่าเหตุผลใดที่ทำให้การตื่นขึ้นมา มีคุณค่ากว่าการนอนหลับฝัน
ก.ย. 25, 2022