Skip to content
Home » Blog » รีวิวหนังสือ : เปิดปมชีวิต สู่วิธีคิดแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Alice Schroeder)

รีวิวหนังสือ : เปิดปมชีวิต สู่วิธีคิดแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Alice Schroeder)

รีวิวหนังสือ เปิดปมชีวิตสู่วิธีคิดแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ สนพ.วีเลิร์น หนังสือการเงิน การลงทุน ธุรกิจ ชีวประวัติ

“… พอพวกคุณอายุเท่าผม คุณจะวัดความสำเร็จในชีวิตโดยดูว่า มีคนที่คุณอยากให้รักคุณสักกี่คนที่รักคุณจริง ๆ

ผมรู้จักคนมากมายที่ร่ำรวยมหาศาล มีคนจัดงานเลี้ยงเพื่อยกย่องพวกเขา มีการตั้งชื่อตึกของโรงพยาบาลตามชื่อพวกเขา แต่เอาเข้าจริงกลับไม่มีใครรักพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าคุณอายุเท่าผมแล้วไม่มีใครมองคุณในแง่ดี ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ เพราะชีวิตของคุณล้มเหลวโดยสิ้นเชิง …”

– โอวาทของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ให้ไว้กับนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย

✒️ ประวัติผู้เขียน อลิซ ชโรเดอร์ (Alice Schroeder)

Alice Schroeder (อลิซ ชโรเดอร์)
นักวิเคราะห์ชั้นนำของ Wall Street 
อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท Morgan Stanley
เคยได้รับเลือกให้เป็นบุคคลที่น่าจับตามองที่สุดประจำปี 2008
และเป็นนักวิเคราะห์เพียงคนเดียวที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยอมให้สัมภาษณ์
เธอใช้เวลานับ 2,000 ชั่วโมงกับเขา
และสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกว่า 250 คนระหว่างเขียนเล่มนี้
ทันทีที่หนังสือได้รับการตีพิมพ์ 
ก็ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของ The New York Times ทันที
และยังครองอันดับยาวนานต่อเนื่องถึง 3 เดือนด้วย
ปัจจุบันเธอเป็นคอลัมน์นิสต์ประจำสำนักข่าว Bloomberg
และกรรมการอิสระของบริษัท Prudential Inc.

🎯 มุมมองสรุป

: หนังสือหมวดธุรกิจที่เปิดเผยเรื่องราวตั้งแต่ภูมิหลังในการมีกรอบความคิดเฉกเช่นทุกวันนี้ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไปจนถึงกระบวนวิธีที่เขาเลือกลงทุนและการบริหารเงินในสภาวะเศรษฐกิจทั้งยุคเฟื่องฟูและตกต่ำ ซึ่งมาจากการสัมภาษณ์โดยตรงจากเจ้าตัวรวมถึงบุคคลผู้เกี่ยวข้อง โดยวอร์เรนได้ย้ำกับผู้ที่จะเขียนหนังสือของเขาว่าหากได้พูดคุยกับใครแล้วเรื่องราวไม่ตรงกัน จงเลือกเขียน "เรื่องที่ดูดีน้อยกว่า"

: โดยภาพรวมเราจึงได้ทั้งแง่มุมทางความคิดและได้รู้จักอุปนิสัยอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งของโลกคนนี้ และยังได้รับรู้เรื่องราวทางเศรษฐกิจในอดีตที่ผ่านมาทางฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างคร่าว ๆ ตลอดจนการดำเนินชีวิตและเรื่องราวความสัมพันธ์ทั้งในครอบครัวและกับเหล่าผู้คนที่เขาชอบ

: วิธีการเล่าเรื่องของหนังสือดำเนินไล่เรียงไปตามปี ค.ศ. เฉกเช่นหนังสือชีวประวัติทั่วไป (อาจมีทับซ้อนคาบเกี่ยวกันบ้าง) ได้บรรยากาศคล้ายการดูภาพยนตร์ชีวิตที่ตัวเอกค่อย ๆ ดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ พบเจอจุดเปลี่ยนผ่านและประสบการณ์ระหว่างทางที่ล้วนเต็มไปด้วยข้อคิดแอบแฝง

: แบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 ภาค (4 ภาคในเล่ม 1 และ 2 ภาคที่เหลือในเล่ม 2) ได้แก่ ภาคหนึ่ง-ฟองสบู่ / ภาคสอง-สิ่งชี้วัดภายใน / ภาคสาม-ลงสนาม / ภาคสี่-ซูซี่ร้องเพลง / ภาคห้า-ราชาแห่งวอลล์สตรีท / ภาคหก-ลูกบอลหิมะ ซึ่งการเล่าเรื่องไล่เรียงตามไทม์ไลน์ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ในเล่มแรกจะเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตในวัยเด็กของเขา และเล่มสองจึงเริ่มมีเรื่องราวของการขยายอาณาจักรทางธุรกิจ (ประมาณปี 1980 เป็นต้นมา)

: ภาษาอ่านง่าย มีส่วนที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับตลาดการลงทุนที่อาจจะเข้าใจยากบ้างสักนิด (อันนี้ในมุมของเราที่ยังไม่สันทัดกับการลงทุนเท่าไรนะคะ) แต่ผู้เขียนมีวิธีการเปรียบเทียบและอธิบายให้เห็นภาพได้ (แต่บางอันเราอ่านก็ยังสับสนอยู่ ^^") ยิ่งไปกว่านั้น เรารู้สึกว่าผู้เขียนเรียบเรียงเก่งมากกก (ผู้แปลก็เก่งในการเลือกใช้คำไปอีก) ถ่ายทอดทั้งเรื่องราวชีวิตและการสื่อความทางธุรกิจได้อย่างกลมกลืน บทจะสนุกก็อ่านไปหัวเราะไป (ปู่วอร์เรนนี่เป็นคนตลกเหมือนกันนะ) บทจะเศร้าก็รู้สึกสงสารจับใจ 

: แน่นอนว่าเหมาะกับคนที่สนใจเรื่องของคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ทั้งจิตวิทยาการลงทุนและเรื่องราวชีวิตของเขา ซึ่งการลงทุนในแบบฉบับของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะเน้นการถือครองความเป็นเจ้าของกิจการมากกว่าแม้ว่าเขาจะชอบแบบแผนของราคาและตัวเลขก็ตาม วอร์เรนเคยหลงใหลการลงทุนที่ใช้การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคมาแล้ว แต่เมื่อเขาได้พบหนังสือ The Intelligent Investor ของเบนจามิน เกรแฮม (ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นครูและเพื่อนคนหนึ่งของเขา) ก็ทำให้เขาค้นพบระบบที่ทำงานได้อย่างคงเส้นคงวา และเปลี่ยนมาลงทุนแบบเน้นคุณค่าจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

: ขอสารภาพไว้ตรงนี้เลยว่าตอนอ่านจบคือรู้สึกแบบว่า...'นี่ฉันจะเขียนรีวิวหนังสือชุดนี้ยังไงดีล่ะ' คือเรื่องราวรายละเอียด (ที่น่าเล่า) มันเยอะมาก และผู้เขียนก็เรียบเรียงไว้ดีมาก มากจริง ๆ เริ่มต้นและปิดท้ายได้งดงามสมบูรณ์แบบ ส่วนตัวเราคือชอบเลย รู้สึกดีใจที่สำนักพิมพ์ซื้อลิขสิทธิ์มาแปล โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเป็น คุณนรา สุภัคโรจน์ มาแปลอีกยิ่งประทับใจเข้าไปใหญ่ (ประทับใจสำนวนตั้งแต่ตอนอ่านอัตชีวประวัติของ สตีเวน คิง ตลกออกรสดี) หลังจากนั้นเวลาที่เลือกอ่านหนังสือแปลแล้วเจอชื่อคุณนราคือจะมั่นใจมาก
รีวิวหนังสือ Warren Buffett ประวัติ วิธีคิด วิธีลงทุน

ปฏิเสธได้ยากมากที่จะไม่กล่าวถึงบุคคลนี้เมื่อเราพูดเรื่องความมั่งคั่งและการลงทุน ทุกคนอาจรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขาอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงของการเงินการลงทุน หลายคนอาจจะยกให้เขาเป็นบิดาแห่งการลงทุนเลยก็ว่าได้ อันเนื่องมาจากความสามารถในการบริหารพอร์ตการลงทุนระยะยาวที่เน้นเรื่องคุณค่าของสินทรัพย์ และทัศนคติที่มีความมั่นคงแน่วแน่ซึ่งทำให้เขาผ่านพ้นทุกวิกฤติของตลาดการเงินในแต่ละยุคมาได้แม้จะไม่ง่ายดายนัก นั่นจึงทำให้หลายคนอาจสงสัยและอยากรู้มากยิ่งขึ้นไปอีกว่าอะไรที่หลอมรวมให้กลายมาเป็น วอร์เรน บัฟเฟตต์ เฉกเช่นทุกวันนี้

ชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และความสัมพันธ์

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เกิดในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ปี 1930 ตระกูลบัฟเฟตต์ล้วนทำมาค้าขายนับตั้งแต่บุกเบิกเมืองโอมาฮาพร้อมคติประจำตระกูลที่ว่า “ใช้น้อยกว่าที่หามาได้” และดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสิ่งที่สืบทอดรุ่นสู่รุ่นเรื่อยมาจนถึงเขา วอร์เรนมีพี่สาวและน้องสาว ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะสร้างปมในวัยเด็กให้เขาเติบโตมาโดยหวาดกลัวการเผชิญหน้าและความรู้สึกที่ไม่ถูกเป็นที่รัก แม่ของวอร์เรนเป็นคนอารมณ์ร้อนและมักระบายอารมณ์กับเขาหรือพี่สาวด้วยการดุด่าอยู่เป็นประจำ เว้นแต่น้องสาวคนสุดท้องเพราะเธอเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวมีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้ว ฉะนั้นเขาจึงรู้สึกผูกพันกับพ่อมากกว่า

แม้วอร์เรนจะดูเก็บตัวและขี้อายในบางเรื่อง แต่ก็มีอุปนิสัยโลดโผนและชอบเล่นพิเรนทร์อยู่บ่อยครั้ง เขามักเข้ากับผู้ใหญ่ได้ดีอันเป็นผลมาจากการชอบฝังตัวอยู่ตามบ้านเพื่อนและญาติเพราะไม่อยากพบแม่ เขาได้พยายามที่จะฝึกฝนตัวเองเมื่อพบเจอหนังสือของ เดล คาร์เนกี้ (How to win friends and influence people หรือในชื่อแปลไทย ‘วิธีชนะมิตรและจูงใจคน’) ที่ประดุจดังคัมภีร์สำหรับเขา และหนังสือเล่มนี้ก็ยังคงได้รับการกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งในปัจจุบัน บทสนทนาและถ้อยคำพูดจาที่ทำให้ใครหลายคนชื่นชอบเขาส่วนหนึ่งเกิดจากความซื่อตรง ความรู้อันถ่องแท้และความซื่อสัตย์ศรัทธาในสิ่งที่พูด พร้อมด้วยประสบการณ์หลาย ๆ อย่างที่หลอมรวมเข้ากับบุคลิกอันตรงไปตรงมาของเขาเอง เพื่อนหลายคนต่างบอกว่าหากลองวอร์เรนได้พูดรับรองเรื่องใดขึ้นมาแล้ว เขาไม่เคยทำให้ผิดหวัง ดังนั้นเขาในสายตาคนอื่นจึงได้รับความนับถือและไว้วางใจอย่างไม่ต้องสงสัย

วอร์เรน แต่งงานกับซูซี่ที่มีบุคลิกเป็นที่รักของคนรอบข้าง เธอมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอยู่เสมอ และยังเมตตาอารีเผื่อแผ่ไปถึงบุคคลทุกชนทุกชาติแม้ว่าในยุคนั้นผู้คนจะแบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิวรุนแรงมากแค่ไหน และเธอนี่เองที่คอยอยู่เคียงข้างวอร์เรนในฐานะทั้งเพื่อนผู้คอยชี้แนะเรื่องความสัมพันธ์ไปจนถึงคู่ชีวิตที่คอยจัดการเรื่องราวภายในบ้านเพื่อให้วอร์เรนได้ใช้เวลากับสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุด ทว่าเมื่อซูซี่ได้ใช้ชีวิตมาจนถึงจุดที่เรียกว่า “การลาออกจากหน้าที่แม่” เมื่อเด็ก ๆ เติบโตเข้ามหาวิทยาลัยและเริ่มมีชีวิตเป็นของตนเองและวอร์เรนก็เริ่มฝังตัวลงไปในความหลงใหลของการเพิ่มพูนสินทรัพย์ของเขา ทั้งสองก็เริ่มมีช่องว่างที่ถ่างกว้างมากกว่าเดิม

ความจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งของวอร์เรนไม้เว้นแม้แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกสนใจใครขึ้นมา เขามักหาโอกาสที่จะใช้เวลาอยู่ด้วยเสมอ ทั้งยังพาคนที่เขาสนใจเข้ามารู้จักโลกของเขาด้วยเช่นกัน และเพราะสิ่งที่จะดึงดูดความสนใจจากเขาได้นั้นจะเป็นเรื่องใดไปไม่ได้ มันจึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มเพื่อนฝูงส่วนใหญ่ของเขาก็มักจะเป็นกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับการเงินการลงทุนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะเขาผสานสองสิ่งนี้เข้าไว้ด้วยกันจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับแผนของการดำเนินชีวิต

การศึกษา = การเรียนรู้

เขาไม่ได้ชื่นชอบการเรียนในระบบนักแต่ให้ความสำคัญมากกับการเรียนรู้ เขามองว่าตนเป็นพวกชอบเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า ซ้ำพฤติกรรมในวัยเรียนชั้นมัธยมของเขาก็ดูจะออกนอกลู่ทางไปมาก แต่กลวิธีทำให้เข้ารูปเข้ารอยของพ่อเขาก็ทำให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปได้ กระทั่งเมื่อใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัยและเตรียมตัวหางานทำเพื่อลู่ทางการเป็นเศรษฐีเงินล้านก็ถูกเปลี่ยนในภายหลังเมื่อเขาเริ่มมองเห็นถึงความสำคัญเรื่องเครือข่ายและเส้นสายในอนาคต เขาตัดสินใจที่จะเข้าเรียนต่อฮาร์วาร์ดแต่ถูกปฏิเสธ ซึ่งนับว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเขาก็ว่าได้ เพราะในที่สุดเขาก็ได้เรียนในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียอย่างฉิวเฉียดโดยเขียนจดหมายสมัครอย่างประหลาด ๆ ในเดือนสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยประกาศรับ ได้เข้าเรียนกับเบนจามิน เกรแฮมอาจารย์ผู้เขียนหนังสือต้นแบบแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของเขา การอยู่ที่นี่จึงกลายมาเป็นสถานที่ซึ่งทำให้ความคาดหวังและทุกสิ่งทุกอย่างของวอร์เรนเข้าที่เข้าทางของมัน

เปิดปมชีวิต สู่วิธีคิดแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ รีวิวหนังสือ

ความสนใจและจุดเริ่มต้นเรื่องเงิน

วอร์เรนเริ่มสนใจตัวเลขตั้งแต่วัยอนุบาลเมื่อเขารู้สึกทึ่งกับการคำนวณวินาทีให้กลายเป็นนาที อาของเขาซื้อนาฬิกาจับเวลาให้เป็นของขวัญและมันทำให้เขาชอบมาก เขาเริ่มจากทดลองแข่งขันจับเวลาลูกแก้วว่าลูกใดจะลงสู่ก้นอ่างได้ก่อนกันและเฝ้าจับตา นั่นเป็นจุดแรกเริ่มของการเรียนรู้เรื่องราวสถิติ นอกจากนี้เขายังเป็นคนชอบสังเกตและเป็นนักสะสมตั้งแต่เด็ก แม้แต่ของที่ไม่น่าจะมีเด็กที่ไหนสะสมอย่างเช่นลายนิ้วมือแม่ชี (แน่นอนว่าเหตุผลน่ารัก ๆ นั้นก็คือเผื่อว่าวันหนึ่งแม่ชีอาจเป็นผู้ร้าย!) ก่อนที่จะมาเรียนรู้วิธีการคำนวณแต้มต่อจากการทดสอบกฎของเดล คาร์เนกี้ และใช้วิธีคำนวณนี้ตีพิมพ์ทำนายผลแข่งม้าเองจากการรวบรวมข้อมูลและสถิติเมื่อครั้งที่แม่ของเพื่อนพาไปเปิดหูเปิดตาจนได้รู้จักกับโลกการพนันที่เดิมพันด้วยเงิน

วอร์เรนเป็นนักอ่านตัวยง เขาอ่านหนังสือแทบทุกประเภทและมีความจำที่แม่นยำมาก พ่อของวอร์เรนทำงานอยู่ในธนาคาร ทุกครั้งที่เขาไปเล่นที่ทำงานพ่อจึงมักได้ใกล้ชิดกับหนังสือหุ้น กระดานตัวเลขการซื้อขาย และอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการลงทุนสำหรับอาชีพโบรกเกอร์ของพ่อเขา ครั้งแรกที่เขาได้เงินมาจากการขายหมากฝรั่งแบบห่อ และความเขี้ยวก็เริ่มตั้งแต่จุดนั้นเมื่อมีหญิงคนหนึ่งต้องการเพียง 1 ชิ้นและเขาก็ไม่ยอมแบ่งขายเพราะมองว่าที่เหลือมีโอกาสจะขายไม่ได้และทำให้ได้รับกำไรน้อยลง มีครั้งหนึ่งเขาพบหนังสือ ‘หนึ่งพันวิธีทำเงิน 1,000 ดอลลาร์’ จากห้องสมุดที่ดึงดูดใจมาก ซึ่งกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้ค้นพบแนวคิดของการ ‘พอกพูน’ โดยใช้เงินลงทุนก้อนแรกและทำให้มันเพิ่มขึ้นปีละ 10% เพื่อให้มันทบทวีไปตามกาลเวลา จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็เริ่มสะสมสิ่งที่มีมูลค่าอย่างเงินขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยเขามักหาวิธีที่จะได้เงินเพิ่มอยู่เสมอ

สู่วงการตลาดนักลงทุน

การซื้อขายหุ้นครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในวัย 12 ปีหลังเก็บเงินได้ 120 ดอลลาร์ เขาจึงชักชวนพี่สาวให้เป็นหุ้นส่วนซื้อหุ้นบุริมสิทธิด้วยกันคนละ 3 หุ้นโดยไม่เข้าใจมัน ประสบการณ์ครั้งนั้นเขาได้รับบทเรียนสำคัญ 3 ข้อ นั่นคือ อย่ายึดติดกับราคาหุ้นที่จ่ายไป อย่ารีบตะครุบกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่ไตร่ตรอง และข้อสุดท้ายคือเขาจะไม่ยอมแตะเงินของคนอื่นอีกหากไม่มั่นใจ

แม้วอร์เรนจะชื่นชอบตัวเลขและสถิติรวมถึงการคำนวณแต้มต่อมากแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกต้องการสิ่งที่เป็นระบบและสามารถทำงานได้อย่างคงเส้นคงวา กระทั่งเขาได้มารู้จักหนังสือ The Intelligent Investor ของเบนจามิน เกรแฮม (บุคคลผู้ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย) ทำให้มุมมองด้านการลงทุนของเขาเปลี่ยนจากการคิดคำนวณเชิงสถิติมาเป็นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งวิธีการลงทุนของเขานั้นได้รับอิทธิพลโดยตรงจากอาจารย์ของเขา เบนจามิน เกรแฮม และยังได้เคล็ดวิชาอีกจำนวนมากจากการทำงานในบริษัทของเกรแฮมด้วย ในสมัยแรกเริ่มนั้น เขาจะใช้วิธีตามหาสิ่งที่เรียกว่า “หุ้นก้นบุหรี่” และสูบเฮือกสุดท้ายของมัน นั่นคือการเลือกซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี หากมันสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ก็นับว่าโชคดี แต่หากไม่ก็ยังสามารถเลิกกิจการโดยที่ไม่ขาดทุน นอกจากนี้ เขามักใช้หลักการเลือกลงทุนซื้อหุ้นที่มี “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย” (Margin of Safety) โดยคำนวณจากมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทและมาเทียบกับราคาตลาดปัจจุบัน แน่นอนว่าการกระทำเช่นนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในยุคที่การตามหาข้อมูลและซื้อขายหุ้นไม่ได้อยู่บนโลกออนไลน์ วอร์เรนผ่านช่วงเวลาของการเก็บสะสมคลังความรู้ด้วยหนังสือทุกเล่มที่เขาสนใจ และความมุ่งมั่นในสิ่งที่เขาหลงใหล ภายใต้เป้าหมายที่ถูกวางไว้อย่างชัดเจน

“ลอตเตอรี่รังไข่” กับความใส่ใจสังคม

วอร์เรนมีแนวคิดเรื่องการเกิดของตัวเองว่าเปรียบเสมือนกับการถูกลอตเตอรี่รังไข่ สิ่งใดก็ตามที่สร้างเขาและเขาสร้างขึ้นมากระทั่งทุกวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลทางสังคม ทุกโอกาสที่ได้รับมาจากความโชคดีที่ได้เกิดในอเมริกา แนวคิดนี้ส่งผลต่อการกำหนดทิศทางความคิดเห็นในการทำเพื่อสังคมอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลัง เมื่อหุ้น Berkshire เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลให้มีเงินไหลเข้ามูลนิธิบัฟเฟตต์มากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เล็งเห็นว่าภารกิจการแจกจ่ายเพื่อการกุศลนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และเขาต้องการให้มันเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เขาจึงตัดสินใจมอบเงินส่วนใหญ่ให้กับมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ที่เขาเชื่อมั่นและศึกษาข้อมูลมาอย่างดีแล้วว่ามีวิธีการบริหารเงินได้อย่างเหมาะสมที่สุดเพื่อการกระจายความช่วยเหลือออกสู่สังคมในวงกว้างจากนี้จนถึงอนาคต

รีวิวหนังสือ ประวัติ วอร์เรน บัฟเฟตต์

นี่เป็นเพียงเรื่องราวบางส่วนของประวัติชายผู้น่าสนใจคนนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากให้คุณเป็นคนค้นพบด้วยตัวเองมากกว่า : ) แรกเริ่มเดิมทีเราเคยรู้จักเขาเพียงว่าเป็นบุคคลที่เคยติดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกและเป็นต้นแบบนักลงทุนของใครหลาย ๆ คน แต่เมื่อเราได้มาทำความรู้จักเรื่องราวตั้งแต่พื้นเพครอบครัวและการใช้ชีวิตจากจุดเริ่มต้น วิธีคิด วิธีทำความเข้าใจ และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เขาพานพบมา ฉายา “ปราชญ์แห่งโอมาฮา” คือคำกล่าวที่ถูกต้องที่สุดอย่างแท้จริง

หนังสือที่เล่าเรื่องราวของคน ๆ หนึ่งกับช่วงชีวิตของเขา

สิ่งที่เราชื่นชมมาก ๆ อีกอย่างหนึ่ง คือการผูกสัมพันธ์และการคบหากับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของวอร์เรน ต้องบอกว่าใครก็ตามที่ได้พบปะพูดคุยกับเขาคงมีน้อยคนมากที่จะหายออกไปจากชีวิต เรียกได้ว่านอกจากจะเป็นบุคคลที่รวยทรัพย์สินแล้ว ก็ยังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยเพื่อนฝูงมาก โดยความสัมพันธ์ของคนในชีวิตวอร์เรนคล้ายกับเครือข่ายที่ทอดยาวต่อ ๆ กันออกไป เพื่อนของวอร์เรนคือกลุ่มคนที่พร้อมจะสนับสนุนเขาด้วยความเต็มใจ ในขณะเดียวกันก็พร้อมยอมหลีกทางให้ในสิ่งที่วอร์เรนต้องการ

นอกจากเรื่องราวรูปแบบทางความคิดที่สร้างธุรกิจขึ้นมาในแบบของวอร์เรนแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังช่วยให้เราได้รู้ประวัติศาสตร์โลกการลงทุนอย่างคร่าว ๆ ในแต่ละยุคสมัยของอเมริกา และยังได้บทเรียนของโลกการเงินที่อาจนับได้ว่าเป็นวิกฤติของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ว่าได้ นับเป็นการศึกษาอดีตผ่านประวัติบุคคลสำคัญเพื่อเป็นแนวทางสำหรับอนาคต (แม้ว่าผลการดำเนินงานในอดีต จะไม่ใช่เครื่องยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตก็ตาม – เวลาอ่านเจอบทวิเคราะห์การลงทุนมักจะชอบมีคำประมาณนี้ ^_^ ) แต่เชื่อเถอะว่าการได้รู้จักบุคคลผู้นี้ มีแต่ความคุ้มค่า

สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินและสนุกไปกับเรื่องราวชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่หนานับพันหน้า น่าจะเป็นวิธีการเรียบเรียงของผู้เขียน (แน่นอนภาษาการแปลก็เช่นกัน) รูปแบบการเล่าเรื่องทำให้อ่านง่ายและบางช่วงจังหวะเรารู้สึกได้ถึงความสนุกสนาน น่ารัก ฉลาดเฉลียว และความเนิร์ดของวอร์เรนจนเผลอหัวเราะออกมา ในทำนองเดียวกัน เมื่อถึงเรื่องราวที่ชวนให้รู้สึกซึมเทา เราก็ค่อนข้างสะเทือนใจไปกับชีวิตของคน ๆ นี้ด้วย ส่วนเรื่องมุมมองการศึกษาเชิงธุรกิจ หากใครที่ไม่ได้คลุกคลีกับวงการการเงินการลงทุนนัก อาจจะสับสนเล็กน้อย แต่โดยรวมยังคงมีการอธิบายเชิงเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจภาพของการนำเสนอ

เพราะก้อนหิมะ (Snowball) เกิดจากเกล็ดหิมะที่ค่อย ๆ ทับถมรวมตัวกัน และยิ่งสะสมไปนานวันมันก็จะกลายเป็นก้อนที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการตั้งชื่อหนังสือที่บ่งบอกถึงเรื่องราวชีวิตของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ดีที่สุด ไม่ว่าเรื่องใด การเดินทางของเขาคล้ายกับคนที่กลิ้งก้อนหิมะไปเรื่อย ๆ โดยใจความสำคัญของมันล้วนเกิดจากความมานะพยายาม ความมั่นใจ และความตั้งใจแน่วแน่กับวิธีคิดของตนเองซึ่งเขาเชื่อ และผลที่เกิดจากความเชื่อของเขาก็เปล่งประกายจนทำให้คนรอบตัวของเขาศรัทธา

เพราะแม้แต่ในเวลานี้ ก้อนหิมะของเขาก็ยังไม่หยุดกลิ้ง

หนังสือ ชีวประวัติ วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิดาแห่งการลงทุน รีวิว

🛒 ซื้อหนังสือออนไลน์

“เปิดปมชีวิต สู่วิธีคิดแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เล่ม 1 และ 2”

ผู้เขียน : Alice Schroeder
(นรา สุภัคโรจน์ แปล)

(เล่ม 1) จำนวนหน้า : 541 หน้า / ราคาปก : 450 บาท

(เล่ม2) จำนวนหน้า 403 หน้า / ราคาปก : 435 บาท

สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น (WeLearn)

หมวด : ธุรกิจ

บทความ รีวิว จากดวงจันทร์ มิเลนา อากุส อ่านอิตาลี
บทความจากแง่มุมของการเฝ้ารอสิ่งซึ่งยากนักจะปรากฏ แม้นปรากฏก็ไม่อาจฉวยคว้ามันไว้ ผ่านวรรณกรรมอิตาลีที่เต็มไปด้วยความรัก ปวดปร่า และความก้ำกึ่งระหว่างความสุขจากโลกมายากับความปรารถนาในโลกความจริง
ก.ย. 4, 2022
หนังสือพัฒนาตนเอง รีวิว บทเรียนชีวิต หนังสือจิตวิทยา
หากปัญหาความสัมพันธ์ ความคิดความเชื่อ หรือการดำเนินชีวิตของคุณกำลังสะดุดติดขัด นั่นอาจเป็นสัญญาณให้คุณหยิบ 'แผนที่ชีวิต' ขึ้นมาปรับปรุงแก้ไข ร่วมปัดฝุ่นเส้นทางเดินชีวิตที่คุณเลือก ผ่านแนวคิดและบทเรียนของจิตแพทย์ที่ฝากไว้ ให้ทบทวนและตั้งคำถามใหม่กับตัวเองอีกครั้ง
พ.ย. 24, 2023
รีวิว Think Like a Freak
อ่านเรื่องเล่าผสมวิธีคิดแบบนักเศรษฐศาสตร์ที่ก้าวข้ามความปกติไปสู่มุมมองที่ต่างออกไป แล้วนำไปปรับใช้เป็นกลยุทธ์เชิงธุรกิจในแบบของตัวเอง
ก.ค. 31, 2021
รีวิว คินสึงิ ความงามของบาดแผลแห่งชีวิต
หนังสือที่จะช่วยให้คุณได้ลงรักทองประสานรอยร้าวของชีวิตที่แตกสลาย และฟื้นฟูคุณค่าแห่งจิตใจให้กลับคืนสู่สภาวะที่เต็มเปี่ยมจากภายในอีกครั้ง
ต.ค. 17, 2022