✒️ เกี่ยวกับผู้เขียน ✒️ Tomás Navarro (โทมาส นาวาร์โร) นักจิตวิทยา นักเขียน ผู้ฝึกสอน และที่ปรึกษาชาวสเปน ผู้ก่อตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาและแนะนำด้านสุขภาพทางอารมณ์ มีผลงานหนังสือ 6 เล่ม ได้รับการแปลไปแล้วมากกว่า 20 ภาษา จุดมุ่งหมายของเขาคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มีชีวิตที่สวยงาม
🎯 SUMMARY VIEW 🎯 : คินสึงิ คือศิลปะแบบโบราณของญี่ปุ่นที่ใช้เรียกการซ่อมแซมภาชนะเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหักด้วยการลงรักทอง ทำให้รอยชำรุดนั้นมองเห็นได้ชัด อันแสดงถึงสัญลักษณ์ของความเปราะบาง แข็งแกร่ง และงดงาม เป็นมุมมองสะท้อนทัศนคติของชาวญี่ปุ่นซึ่งเชื่อว่าสิ่งของที่ชำรุดนั้นสามารถซ่อมแซมให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง เฉกเช่นเดียวกับชีวิต : แม้ชื่อหนังสือดูคล้ายกับเป็นหนังสือปรัชญาญี่ปุ่น แต่วิธีการนำเสนอผู้เขียนได้ตั้งใจถ่ายทอดให้เป็นแบบฮาวทูโดยมุ่งเน้นกระบวนการทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เลวร้ายไปจนถึงวิธีปรับทัศนคติและการมองเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของนักจิตวิทยามาหลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้อ่านนำไปปรับประยุกต์ใช้กับตนเอง โดยอาศัยมุมมองทางความคิดของปรัชญาคินสึงิเทียบเคียงกับการซ่อมแซมชีวิตอย่างเห็นคุณค่าแม้ว่าจะมีรอยแตกร้าว : หนังสือแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก นั่นคือ ภาคแรกที่ใช้สำหรับการทำความเข้าใจถึงความเจ็บปวดและสถานการณ์เลวร้ายของชีวิต ในภาคที่สองจึงเริ่มแนะนำกระบวนวิธีการซ่อมแซมชีวิตที่แตกหักบุบสลาย และส่วนสุดท้ายจะเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับความทุกข์เหล่านั้นและวิธีที่พวกเขาใช้มันในการประกอบเศษเสี้ยวของชีวิตตนขึ้นมาใหม่ จนกลับมามีคุณค่าดังเช่นที่เคยเป็นมา : บางส่วนของเนื้อหามีการสอดแทรกใจความที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นประเด็นให้เกิดความสงสัยหรือตัวอย่างเรื่องราวที่อาจจะมอบคำตอบให้เมื่อคุณกำลังอ่านแล้วเกิดฉุกคิดบางอย่าง จังหวะการเล่าเหล่านั้นมีความลงตัว ราวกับมีนักจิตวิทยามานั่งคุยใกล้ ๆ : ท้ายบทจะมีข้อสรุปแต่ละคำแนะนำเพื่อการจับใจความสำคัญที่ควรต้องตระหนักไว้ ถือเป็นการทบทวนความเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่ออีกรอบ : เราค่อนข้างชื่นชอบการนำเสนอกระบวนวิธีทางจิตวิทยาภายในหนังสือเล่มนี้มาก มันง่ายต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจอย่างแท้จริง เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนที่อยากมอบเครื่องมือให้ผู้ที่กำลังพบกับความลำบากของการฟื้นฟูชีวิตที่แตกสลาย – ชีวิตที่มีเพียงหนึ่งเดียวของตนเอง – ให้กลับมามีความหมายอีกครั้ง
เราไม่แน่ใจนักว่าจะมีหลายคนไหมที่ชอบหลบไปเลียแผลใจตัวเองเพียงลำพังก่อนที่จะนำมันไปพูดคุยหรือปรึกษากับใครก็ตามที่เราไว้ใจ และแทบจะเป็นไปไม่ได้กับการนำเอาไปบอกเล่าให้คนแปลกหน้าอย่างนักจิตวิทยาฟังถึงความเจ็บปวดที่เรากำลังเผชิญอยู่ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งเมื่อทุกอย่างมันยากเกินจะรับไหว เราคิดว่านี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่กว่าใครสักคนจะยอมพาตัวเองเข้าไปสู่การเยียวยาอย่างถูกวิธี สภาพจิตใจก็บอบช้ำเต็มทีแล้ว
ผู้เขียนอาจจะตระหนักถึงสิ่งนี้ ด้วยประสบการณ์การเป็นนักจิตวิทยามากกว่าสิบปีของเขา ทำให้ความตั้งใจในการมอบอุปกรณ์การเยียวยาตัวเองเบื้องต้นเหล่านี้ถูกถ่ายทอดมาเป็นกระบวนวิธีที่ถึงซึ้งราวกับหนังสือที่สามารถโอบอุ้มได้ทุกความเจ็บปวด เราชอบคำปลอบโยนอย่างจริงใจ การบอกเล่าแนะนำวิธีในแบบที่คนแตกสลายสามารถรับมือได้ เราชอบหนังสือที่เวลาอ่านแล้วเหมือนมีใครสักคนมานั่งพูดให้ฟังอยู่ข้าง ๆ
หนังสือเริ่มต้นเล่าเรื่องระหว่างศิษย์เอกนามว่า โซเคอิ ผู้ซึ่งได้สืบทอดวิชาช่างดินเผาจากโซจิโร่ ช่างดินเผายอดฝีมือแห่งเกียวโต โซเคอิเป็นเด็กหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการที่จะเปลี่ยนก้อนดินให้กลายเป็นเครื่องปั้น ด้วยจิตวิญญาณ ด้วยความรัก แน่นอนว่าความทุ่มเททุกอย่างที่เขาบรรจงมอบและสร้างสรรค์อย่างพากเพียรนี้ ยามมันถูกทำให้แหลกสลายเพียงเสี้ยววินาทีย่อมหมายถึงทั้งชีวิต และนั่นคือวินาทีเดียวกันกับที่โซจิโร่หยิบยื่นบทเรียนใหม่ที่แสนลึกล้ำ – วิธีการทำคินสึงิ ซึ่งก็คือการนำเอาภาชนะที่แตกหัก บิ่น หรือมีรอยร้าว มาประสานด้วยรักทองเพื่อให้มันสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เป็นการคืนคุณค่าที่มีมาแต่เดิมของมัน คุณค่าที่ไม่เคยสูญหายไปแม้จะเคยแตกสลายมาแล้ว อีกทั้งการซ่อมแซมด้วยเทคนิคคินสึงินี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหลบซ่อนตำหนิของมันเอาไว้ เพราะอย่างน้อยร่องรอยของการพังและฟื้นคืนมาใหม่นั้นได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเปราะบางที่เข้มแข็ง
แล้วเรื่องราวระหว่างศิษย์-อาจารย์คู่นี้ก็ถูกนำมาเชื่อมโยงเข้ากับกระบวนวิธีฟูมฟักเยียวยาชีวิตไปตลอดทั้งเล่ม ซึ่งทำให้เราอ่านแล้วรู้สึกได้ทันทีว่าการรักษาร่องรอยบาดแผลแห่งชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำแค่การรับรู้แล้วไปต่อโดยปล่อยมันทิ้งไว้อยู่ในความทรงจำเพียงเท่านั้น
เราต้องเข้าใจมัน และมอบทัศนคติให้แก่ความทรงจำเหล่านั้นเพื่อปิดระบบความเจ็บปวดไม่ให้มันขุ่นมัวขึ้นมาอีกครั้งในยามที่มีอะไรไปกระตุ้น
หากมันเป็นเรื่องยุ่งยากขนาดนั้น เราจะหลีกเลี่ยงมันไปเลยไม่ดีกว่าหรือ? หลายคนอาจมีคำถามเช่นนี้แวบขึ้นมาในหัว
สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต คือ การใช้ชีวิต อย่ากังวลถึงสิ่งที่จะทำให้คุณอาจต้องเจ็บปวดเข้าสักวันเพราะมันคงเทียบไม่ได้กับประสบการณ์ความรู้สึกอิ่มเอมที่เราได้ใช้ไปกับมันอย่างเต็มเปี่ยม ประการแรกผู้เขียนแนะนำให้คุณโฟกัสไปที่ความเข้มแข็ง และเชื่อว่าความแข็งแกร่งของชีวิตคือการที่มันสามารถเยียวยาตัวเองได้เสมอ และมันคงจะดีกว่าที่จะฝึกฝนตัวเองให้รับมือและกอบกู้ตัวเองคืนมาได้ แทนที่จะแค่ใช้ชีวิตให้รอดพ้นไปวัน ๆ
วิธีการใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมเช่นนี้เองที่จะทำให้คุณสัมผัสได้ถึงแง่มุมงดงาม และมันอาจจะยิ่งช่วยสร้างประสบการณ์ความเข้มแข็งทางอารมณ์ให้กับคุณได้อีกด้วย
เพราะฉะนั้นระหว่างการใช้ชีวิตอันมีความหมายของคุณ แล้วบังเอิญไปสะดุดเข้ากับสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ใด ๆ ก็ตามแต่ สิ่งแรกที่ควรทำคือการทำความเข้าใจแหล่งที่มาของความเจ็บปวดเหล่านั้น ผู้เขียนได้จำแนกที่มาไว้เป็นหลายรูปแบบ ได้แก่ ความเจ็บปวดจากเรื่องเลวร้าย ความสับสน ความผิดหวัง ความเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดหมาย เห็นผิด คิดผิด จินตนาการ ความกลัว การคาดการณ์ และสุดท้ายคือความจริง (เมื่อความจริงก็เป็นสิ่งเจ็บปวดได้ด้วยฉะนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรแล้วล่ะ อย่างไรเสียชีวิตก็ย่อมเจ็บปวด) ซึ่งการจะมองเห็นที่มาเหล่านี้ได้จำเป็นจะต้องอาศัยการวิเคราะห์ด้วยตนเอง ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าตัวคุณเองอีกแล้ว ขอเพียงแค่คุณต้องยอมเจ็บปวดซ้ำอีกครั้งในการทบทวนมันเพื่อจะหยุดยั้งความเสียหายระยะยาวเอาไว้
หลังจากที่คุณได้ทำความเข้าใจ รับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เฝ้ามองอย่างลึกซึ้งว่ากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ กระบวนการต่อมาย่อมหมายถึงการฟื้นฟูเยียวยา เมื่อเห็นแผลคุณก็จะรู้ว่าต้องทำแผลตรงไหน แต่ระหว่างที่คุณกำลังตรอมตรมระทมทุกข์นั้น มีคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เขียนอยู่อีกนิดหนึ่งที่เราคิดว่ามันสำคัญมาก นั่นคือ อย่ารอให้ตัวเองตกจนถึงจุดต่ำสุด และอย่าจมจ่อมกับความเจ็บปวดนานเกินไป หลายคนอาจรู้สึกว่าต้องดำดิ่งทิ้งตัวเองลงไปให้สุดแล้วจึงยื้อยุดขึ้นมาใหม่ (เราเองก็เป็นหนึ่งคนที่เคยคิดไว้แบบนั้น)
แต่ได้โปรดจดจำประโยคนี้ไว้ – คนเราไม่ได้ตายเพราะตกลงไปในน้ำ แต่เราตายเพราะไม่สามารถขึ้นจากน้ำได้ทันเวลาต่างหาก!
วิธีการทำคินสึงิให้กับชีวิตของคุณ วิธีที่คุณจะกอบกู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่แหลกสลายขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือเมื่อคุณวิเคราะห์สถานการณ์ได้แล้วก็จงลองคิดต่อไปอีกถึงสาเหตุที่เกิด กระบวนการโต้ตอบของตัวเองและเหตุผลที่คุณทำมันลงไป สุดท้ายคือมองดูผลที่ตามมาหลังจากนั้น อย่าลืมตอบคำถามตัวเองหลังจากทบทวนดูเป็นอย่างดีแล้วว่า คุณคิดว่าชีวิตควรเป็นอย่างไร? คุณได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้? คุณต้องทำอย่างไม่เพิ่มเสริมเติมแต่ง มองภาพตามความเป็นจริง เหมือนถอยออกมาดูเรื่องราวของคน ๆ หนึ่ง วางตัวเองให้อยู่ในสถานะของผู้เฝ้าสังเกตการณ์ แล้วมอบมุมมองทัศนคติที่ต่างออกไปเพื่อให้เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ใช้เป็นเครื่องเตือนใจว่าเราได้เรียนรู้มันมาแล้ว และการผ่านมันมาคือความเข้มแข็งขึ้นในอีกระดับหนึ่ง เป็นศิลปะของรอยแผลเป็นที่ไม่อาจสร้างความเจ็บปวดขื่นขมให้คุณได้อีกต่อไป
แน่นอนว่ากระบวนการข้างต้นนี้มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยกับการใช้เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เพราะบาดแผลย่อมต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูรักษาให้หายดีอยู่แล้ว
การที่เราบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้อย่างสรุปจึงฟังดูเป็นเรื่องง่ายดาย แต่ยามที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เหล่านั้นมันยากกว่านี้อีกหลายเท่า เราชอบคำแนะนำถึงเรื่องการถอยออกมามอง วิธีการทำมันคือให้คุณตั้งคำถามใส่ตัวเองว่า “สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี้มีความหมายอะไร?” และหมั่นถามตัวเองเป็นระยะ เราว่าเป็นวิธีการใช้ชีวิตอย่างมีสติและน่านำไปใช้ ไม่ว่าคุณจะกำลังพบเจอมิติชีวิตในรูปแบบใดก็ตาม
โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้สำหรับเรานับว่าเป็นคู่มือในการซ่อมแซมตัวเองได้ดีมาก ในระดับที่สามารถปรับใช้ได้ด้วยตนเองและเรียนรู้ไว้เพื่อรับมือกับสถานการณ์อนาคต หากแต่ก็ต้องบอกตามความเป็นจริงว่ายามที่ชีวิตตกอยู่ในวิกฤติ การจะนึกถึงแต่ละขั้นตอนเหล่านี้จำเป็นจะต้องอาศัยทั้งสติและมุมมองเชิงบวก ดังนั้นหากทุกอย่างยากเกินจะรับไหวและคุณรู้สึกควบคุมจัดการสิ่งใดไม่ได้ เราก็ยังมองว่าการพบผู้เชี่ยวชาญย่อมเป็นทางออกที่ดีกว่า
มันก็คล้ายกันกับบาดแผลที่เกิดบนร่างกายของเรา การรักษาด้วยตนเองสำหรับแผลลึกและสาหัสอาจทำให้มันติดเชื้อและหายยากกว่าการไปพบหมอเลยทันทีตั้งแต่ที่เราเห็นว่ามันดูแย่กว่าที่คิดไว้
เหตุใดเราไม่ทำกับบาดแผลทางจิตใจของเราแบบเดียวกันบ้าง
“Kintsugi คินสึงิ ความงามของบาดแผลแห่งชีวิต”
ผู้เขียน : Tomás Navarro (วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ แปล)
จำนวนหน้า : 456 หน้า / ราคาปก : 359 บาท
สำนักพิมพ์ : Move Publishing
หมวด : จิตวิทยา/พัฒนาตนเอง
บทความที่เกี่ยวข้อง : • 12 ข้อเพื่อไปต่อกับชีวิต ที่เคยคิดว่าบุบสลาย