คุณกำลังตามหาตัวเองอยู่หรือเปล่า?
คุณกำลังคาดหวังว่าความดีงามภายในตัวของคุณจะทำให้คุณรู้สึกเต็มเปี่ยมใช่หรือไม่?
และอาจมีบ่อยครั้งที่คุณพบว่าไม่สามารถอยู่ลำพังกับตัวเองได้ เพราะความหวาดกลัว
“คุณกลัวจะเจอคนที่คุณอยู่ด้วยไม่ได้…” และมันคงยิ่งเลวร้าย เมื่อพบว่าคน ๆ นั้น คือตัวคุณเอง
✒️ ประวัติผู้เขียน เด็บบี ฟอร์ด (Debbie Ford)
Debbie Ford (เด็บบี ฟอร์ด) นักเขียน นักพูด โค้ชด้านการเปลี่ยนแปลงตัวเองชาวอเมริกัน เป็นผู้บุกเบิกการผสานองค์ความรู้เกี่ยวกับเงามืดในจิตใจมนุษย์ เข้าสู่การฝึกปฏิบัติทางจิตวิทยาสมัยใหม่และจิตวิญญาณ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย จอห์น เอฟ เคนเนดี ด้านจิตวิทยา และได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นผู้มีผลงานโดดเด่นในสาขาจิตวิทยาและจิตวิญญาณประจำปี 2001 เด็บบีอุทิศตนให้แก่การถ่ายทอดความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปพร้อม ๆ กับการทำงานมูลนิธิคอลเล็คทีฟ ฮาร์ท เพื่อสร้างโรงเรียนในพื้นที่ชนบทของอูกันดา เธอมีผลงานเขียนหนังสือมาแล้วทั้งหมด 8 เล่ม และครึ่งหนึ่งติดอันดับ Best Seller ของนิวยอร์ค ไทมส์
🎯 มุมมองสรุป
: หนังสือบอกเล่าถึงการเข้าถึงเงามืดภายในตัวตนของเราเองเพื่อทำความรู้จักและโอบรับทุกตัวตนของเราในทุกมิติ ซึ่งจะทำให้เราเกิดความรู้สึกเต็มเปี่ยมจากภายใน สมบูรณ์พร้อม ไม่เกิดความขัดแย้งขุ่นข้องกับตัวเองอันนำไปสู่การแตกหักตลอดทางของการใช้ชีวิต โดยปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเงามืด หรือ Shadow นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกโดยนักจิตบำบัดและจิตแพทย์เลื่องชื่อ คาร์ล กุสตาฟ ยุง ผู้นำเสนอเรื่องทฤษฎีบุคลิกภาพ อันนำมาสู่แบบประเมินบุคลิกภาพตามตัวบ่งชี้ไมเออร์ส-บริกส์ (MBTI) ที่เราเคยได้ยินอยู่ในปัจจุบัน : เนื้อหาแบ่งออกเป็นทั้งหมด 10 บทเรียนที่จะพาเราค่อย ๆ ดำลึกลงไปในตัวเอง เข้าไปทำความรู้จักด้านมืด โอบรับตัวตนนั้น ๆ แล้วขึ้นสู่ผิวน้ำพร้อมความรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ และมีชีวิตอยู่กับตัวเองได้อย่างไม่แปลกแยก ได้แก่ (1) โลกภายนอก โลกภายใน (2) ไล่ตามเงามืด (3) โลกอยู่ในตัวเรา (4) หวนคืนสู่ตัวตนที่ทอดทิ้ง (5) รู้จักเงามืด รู้จักตัวเอง (6) "ฉันเป็นอย่างนั้น" (7) โอบรับด้านมืด (8) ตีความตัวเองใหม่ (9) ให้แสงภายในส่องสว่างออกมา (10) ชีวิตที่ควรค่า : หนังสือไม่เพียงแต่นำเสนอแนวทางและวิธีการยอมรับเงามืดเท่านั้น เพราะท้ายบทเรียนแต่ละบทจะมีแบบฝึกหัดเชิงจิตวิทยาที่จะพาเราลงไปสำรวจภายในตัวเองเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของหนังสือด้วย (เชื่อเถอะว่าใครทำตามไม่เสียเปล่าแน่ เราลองมาแล้ว) : เป็นหนังสือที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการอ่านและเรียนรู้ค่อนข้างมาก และหากคุณสามารถใช้เวลาในการทำงานกับตัวเองไปด้วยขณะอ่านแล้ว เราเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะยิ่งทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ : เหมาะกับใครก็ตามที่ต้องการเรียนรู้ตัวตนภายในของตนเอง ต้องการที่จะอยู่กับตัวเองได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งหรือปริแยก หรือหากใครกำลังประสบปัญหาและข้องใจว่าเหตุใดเราถึงมีปฏิกิริยาต่อพฤติกรรมบางอย่างหรือกับบางคนอย่างรุนแรง เราเชื่อว่าเล่มนี้อาจจะให้คำตอบคุณได้ : อ่านจบแล้วคุณอาจจะได้ทำความเข้าใจถึงด้านมืดหรือความคิดเชิงลบที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจของตัวเอง ตั้งแต่สาเหตุที่มันเกิดขึ้นไปจนถึงวิธีรับมือกับมันให้ได้ เพราะเมื่อคุณใช้ชีวิตมาจนถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว คุณจะพบว่าทุกสิ่งที่ก่อกำเนิดเกิดเป็นตัวเรา มันป่วยการมากที่จะเฝ้าพยายามปฏิเสธหรือแสร้งไม่รับรู้ และไม่แน่ว่าการที่เราจะไปยังจุดที่สว่างไสวที่สุดของตัวเองได้ อาจจำเป็นต้องเข้าใจจุดที่มืดมิดที่สุดในตัวเองก่อน
ความคาดหวังตอนที่ยังไม่ได้อ่าน
ตอนที่ตัดสินใจซื้อเล่มนี้มา เราจำไม่ได้ว่าตอนนั้นคาดหวังอะไรจากมันกันแน่ อาจเป็นเพราะคำโปรยบนปกหน้า-หลัง หรือเพราะคำว่า “ด้านมืด” ที่ดึงดูดเราเนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเหลียวมองเท่าไรนัก เราเคยคิดว่าการพยายามใช้ชีวิตอยู่กับข้อดี (หรือสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี) จะทำให้เราได้อยู่อย่างรู้คุณค่า ทว่าพอลองมองย้อนกลับไป สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งคือบ่อยครั้งที่เรารู้สึกสูญเสียพลังงานการใช้ชีวิตไปราวกับน้ำที่ไหลออกจากขวดตอนยกคว่ำ
และอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งเรามั่นใจว่าอาจเป็นเหตุผลหลัก คือ เรากำลังหาวิธีทำงานกับตัวเองให้มากที่สุดขณะที่เจอเล่มนี้
เปิดประตูสู่ห้องที่มืดมิด
เนื้อหาแต่ละส่วนภายในเล่มชวนให้เราค่อย ๆ อยากเรียนรู้และโอบรับด้านมืดของตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ เด็บบี ฟอร์ด มีวิธีการนำเสนอที่น่าติดตาม ทั้งจากเรื่องเล่าของประสบการณ์การเป็นวิทยากรและการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเพราะบทเรียนเหล่านี้ถูกถ่ายทอดโดยผู้ที่ตกผลึกทางความคิดมาแล้ว เราชอบการอุปมาจากหนังสือที่เธอหยิบมาพูดถึงซึ่งอธิบายเกี่ยวกับโลกภายในตัวเราว่ามันคล้ายกับปราสาทที่มีหลายห้อง และทุกห้องมีความเป็นเอกลักษณ์ กระทั่งวันหนึ่งอาจมีใครสักคนหรือการรับรู้ใด ๆ จากโลกภายนอกมาบอกว่าห้องนั้นไม่ดี ห้องนี้ไม่ควรเปิดไว้ ห้องไหนไม่เหมาะสม จนทำให้เราค่อย ๆ ปิดตายประตูลงไปทีละบาน กว่าจะรู้ตัวอีกที เราที่เคยเป็นปราสาทสวยงามก็กลายเป็นแค่บ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีห้องไม่กี่ห้องรอซ่อมแซมอยู่เท่านั้น
ห้องที่เราปิดตายลงไปล้วนถูกลืมหายไปในกาลเวลา โลกภายนอกจึงส่งสัญญาณบางอย่างกระตุ้นให้เราเปิดมันขึ้นมาอีกครั้ง อาจเป็นผู้คนที่แสดงออกถึงพฤติกรรมเหล่านั้น หรือเหตุการณ์สำคัญที่ชวนให้เรารู้สึกว้าวุ่น และด้วยเหตุแห่งว่าแท้จริงแล้วห้องทุกห้องต่างก็มีความหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างภายในตัวเรามีของขวัญพิเศษ แม้จะเป็นเงามืดที่เราไม่เคยคิดจะชอบมันเลยสักครั้ง แต่หากคุณได้ลองสำรวจถึงมัน เปิดรับ ให้พื้นที่ และทำความเข้าใจ คุณจะพบว่ามันเป็นอีกเศษเสี้ยวที่คุ้มค่าอย่างมากต่อการดำเนินชีวิต
มองให้ลึกถึงจุดประสงค์หลัก
อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นส่วนตัวเรารู้สึกว่ามีบางบทเรียนที่สร้างแรงผลักมหาศาลในการพยายามทำความเข้าใจและเรียนรู้ เราพบว่าตัวเองไม่ชอบกระบวนการตอกย้ำเพื่อสร้างการรับรู้ที่ดูจะหนักหน่วงเกินไปสักนิด (ไม่แน่ใจว่านี่เป็นปฏิกิริยาปฏิเสธตัวตนตามหลักจิตวิทยาหรือเปล่า แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะดีต่อผู้ที่กำลังประสบสภาวะอ่อนไหว) เพราะฉะนั้นเรามองว่าแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมที่ชวนทำภายในเล่มบางรายการน่าจะต้องมองไปให้ลึกถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมันก่อน แล้วเลือกวิธีการทำความเข้าใจในแบบของตัวเราเอง ก็อาจจะเข้าท่ากว่า
บทสรุปของผู้ที่ตามหาแสงสว่าง
สุดท้ายแล้ว เราค้นพบว่าบางครั้งที่เราตอบสนองต่อพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งรุนแรงเกินกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ให้เรารับรู้ถึงบางอย่างภายในตัวตนที่ถูกลืมเลือนทิ้งไว้ – บางสิ่งที่ใกล้แตกสลายกลายเป็นเศษซาก
ความเศร้าจากการหลงลืมตัวตนหรือความพยายามผลักไสเงามืดของตัวเองอาจทำให้คุณมีรอยร้าว มันส่งผลต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่ยังทำให้คุณรู้สึกถึงความแหว่งวิ่นอย่างไม่มีสาเหตุ หากคุณมีทางออกที่ดีกว่าการค้นลงไปในตัวเองและมันยังคงทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย คุณจะข้ามวิธีการเหล่านี้ไปก็ได้ แต่หากความลังเลและสับสนแม้เพียงเล็กน้อยเกิดพร้อมคำถามเกี่ยวกับตัวตนของคุณเอง เราก็อยากให้คุณลองรู้สึกให้เต็มเปี่ยมจากภายใน ร่วมรับรู้และโอบรับตัวตนที่หลบซ่อนไว้เพื่อที่จะไม่ต้องคว้าไขว่อะไรเข้ามาเป็นคำตอบ
เพราะการกลับเข้าสู่ตัวเอง คือหนทางที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิต
คุณอาจไม่มีวันค้นพบสิ่งใด หากคุณไม่ค้นพบตัวเองตั้งแต่ต้น
เราต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการสิ่งใด เราจึงได้คำตอบว่าเรากำลังตามหาสิ่งใด
และเพื่อให้ปราศจากอัตตาหรือการปกป้องตัวเอง – จากตัวคุณเอง
คุณอาจต้องยอมเจ็บปวดในการรับรู้ว่ามีเงามืดที่หลบหลังกำแพงสูงลิ่ว
ซึ่งนั่น…เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
แต่มันคุ้มค่า แค่เพียงหยุดฟังความต้องการของมันดู
ความต้องการที่กู่ร้องจากห้องที่ปิดตายภายในตัวคุณ
🛒 ซื้อหนังสือออนไลน์
“ด้านมืดของผู้ตามหาแสงสว่าง The Dark Side of the Light Chasers”
ผู้เขียน : Debbie Ford
(ภัทริณี เจริญจินดา แปล)
จำนวนหน้า : 262 หน้า / ราคาปก : 235 บาท
สำนักพิมพ์ : โอ้มายก้อด (OMG Books)
หมวด : จิตวิทยา/พัฒนาตนเอง